ทำไมการเรียนภาษาต่างประเทศที่ 'ดูเหมือนง่าย' ถึงกลับทำให้ติดกับดักได้ง่ายกว่า?
เราคงเคยได้ยินคำแนะนำแบบนี้: อยากเรียนภาษาต่างประเทศเหรอ? ลองเลือกภาษาที่มีความ 'เกี่ยวข้องกัน' กับภาษาแม่ของคุณดูสิ แล้วจะง่ายขึ้นเยอะเลย
เช่น คนจีนหลายคนรู้สึกว่าภาษาญี่ปุ่นเริ่มต้นได้ง่าย เพราะมีอักษรคันจิอยู่จำนวนมาก ในทำนองเดียวกัน คนที่พูดภาษาฝรั่งเศสได้แล้วอยากจะเรียนภาษาสเปนหรือภาษาอิตาลี ฟังดูเหมือนจะเป็น 'โหมดง่าย' เช่นกัน ก็ในเมื่อภาษาเหล่านี้ล้วนมีรากฐานมาจากภาษาละติน ราวกับเป็นพี่น้องที่พลัดพรากกันไปนาน
มองเผิน ๆ แล้ว นี่เป็นทางลัดจริง ๆ ในภาษาฝรั่งเศส 'คุณเป็นอย่างไรบ้าง?' คือ Comment ça va?
ภาษาอิตาลีคือ Come stai?
ภาษาสเปนคือ ¿Cómo estás?
เห็นไหม? เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันเลยใช่ไหมล่ะ? ทั้งคำศัพท์และโครงสร้างไวยากรณ์ต่างก็มีความคล้ายคลึงกันหลายจุด
แต่ในวันนี้ ผมอยากจะมาแบ่งปันความจริงที่ 'ขัดกับสัญชาตญาณ' ให้คุณฟัง: บางครั้ง ความ 'คล้ายคลึง' กันนี่แหละ คือกับดักที่ใหญ่ที่สุดบนเส้นทางการเรียนรู้
คนแปลกหน้าที่คุ้นเคยที่สุด
ความรู้สึกนี้ ก็เหมือนกับคนที่พูดภาษาจีนกลางได้เพียงอย่างเดียวไปเรียนภาษากวางตุ้ง
คุณเห็นประโยคว่า “我今日好得闲” (ฉันวันนี้ว่างมาก) คุณรู้จักทุกตัวอักษร พอรวมกันก็พอจะเดาความหมายคร่าว ๆ ได้ คุณรู้สึกว่ามันง่ายมาก! แต่เมื่อคุณเริ่มพูดด้วยความมั่นใจ กลับพบว่าการออกเสียง, สำเนียง, และแม้แต่ความหมายหลักของบางคำ ต่างก็แตกต่างจากภาษาจีนกลางราวฟ้ากับเหว
ความรู้สึกผิดหวังที่ 'อ่านแล้วเข้าใจ แต่พอพูดกลับผิด' แบบนี้ คือหลุมพรางที่ใหญ่ที่สุดในการเรียน 'ภาษาญาติสนิท' คุณคิดว่ากำลังเลือกทางลัด แต่ความจริงแล้วกำลังเต้นรำอยู่ในทุ่งระเบิด
'เพื่อนปลอม' (False Friends) ในภาษาเหล่านี้ คือทุ่นระเบิดลูกใหญ่ที่สุด คำเหล่านี้ดูเหมือนคำที่คุณคุ้นเคยทุกประการ แต่ความหมายกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ยกตัวอย่างเช่น:
ในภาษาฝรั่งเศส คำว่า 'สี' (couleur) เป็นคำนามเพศหญิง เมื่อคนฝรั่งเศสคนหนึ่งเรียนภาษาสเปน เห็นคำว่า color
ก็มักจะคิดไปเองว่ามันต้องเป็นคำนามเพศหญิงเช่นกัน ผลลัพธ์คืออะไรน่ะเหรอ? คำว่า color
ในภาษาสเปนเป็นคำนามเพศชาย ความผิดพลาดเล็ก ๆ เพียงเล็กน้อย กลับเผยให้เห็นถึงความเกียจคร้านในการคิด
หลุมพรางแบบนี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ยิ่งคุณพึ่งพา 'ประสบการณ์' จากภาษาแม่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสตกหลุมพรางได้ง่ายขึ้นเท่านั้น คุณคิดว่ากำลังใช้ทางลัด แต่ความจริงแล้วกำลังเดินทางสวนทางกันโดยสิ้นเชิง
ความท้าทายที่แท้จริง: ไม่ใช่การจดจำ แต่เป็นการลืม
การเรียนภาษาใหม่เอี่ยมที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย (เช่น ภาษาจีนและภาษาอาหรับ) คุณจะเหมือนกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง พร้อมที่จะเปิดใจยอมรับกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ทั้งหมด
แต่การเรียน 'ภาษาญาติสนิท' ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของคุณไม่ใช่การ 'จดจำความรู้ใหม่' แต่เป็นการ 'ลืมนิสัยเก่า ๆ'
- ลืมความเคยชินของกล้ามเนื้อ: การออกเสียงภาษาฝรั่งเศสจะราบเรียบ, การเน้นเสียงคำจะสม่ำเสมอ ในขณะที่ภาษาอิตาลีและภาษาสเปนเต็มไปด้วยจังหวะที่กระโดดและเน้นเสียงที่ชัดเจน สำหรับคนฝรั่งเศสแล้ว ก็เหมือนกับการให้คนที่คุ้นเคยกับการเดินบนพื้นราบไปเต้นแทงโก้ ซึ่งจะรู้สึกอึดอัดไปหมด
- ลืมสัญชาตญาณทางไวยากรณ์: เมื่อคุณคุ้นเคยกับโครงสร้างประโยคแบบใดแบบหนึ่ง ก็จะปรับตัวเข้ากับความแตกต่างเล็กน้อยของ 'ญาติ' ได้ยาก แม้ความแตกต่างเหล่านี้จะเล็กน้อย แต่เป็นกุญแจสำคัญในการแยกแยะ 'คนท้องถิ่น' และ 'ชาวต่างชาติ'
- ลืมสิ่งที่คิดว่า 'เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว': คุณไม่สามารถตั้งสมมติฐานว่า 'คำนี้ก็น่าจะหมายถึงแบบนี้แหละมั้ง?' ได้อีกต่อไป คุณจะต้องปฏิบัติต่อทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นสิ่งใหม่เอี่ยม และคงไว้ซึ่งความเคารพและความอยากรู้อยากเห็นในทุกรายละเอียด
จะหลีกเลี่ยง 'กับดักอันงดงาม' เหล่านี้ได้อย่างไร?
แล้วเราควรทำอย่างไร? ต้องทิ้ง 'ทางลัด' เส้นนี้ไปเลยงั้นหรือ?
ไม่แน่นอน แนวคิดที่ถูกต้องไม่ใช่การหลีกเลี่ยง แต่เป็นการปรับเปลี่ยนทัศนคติ
จงปฏิบัติต่อภาษาใหม่นี้ ราวกับเป็นญาติคนหนึ่งที่ 'หน้าตาคล้ายคุณมาก แต่มีนิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง'
ยอมรับความสัมพันธ์ทางสายเลือด (คำศัพท์ที่คล้ายคลึงกัน) แต่ที่สำคัญกว่าคือการเคารพเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา (การออกเสียง, ไวยากรณ์, และนัยยะทางวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนใคร) อย่ามัวแต่คิดว่า 'เขาก็น่าจะเหมือนฉันสิ' แต่จงสงสัยว่า 'ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้?'
เมื่อคุณพบกับความสับสน เช่น เมื่อพูดคุยกับเพื่อนชาวสเปน ไม่แน่ใจว่าการใช้คำบางคำจะเหมือนกับภาษาฝรั่งเศสหรือไม่ จะทำอย่างไร? เดาเอาหรือ?
โชคดีที่เราอยู่ในยุคสมัยที่สามารถใช้เทคโนโลยีขจัดความแตกต่างได้
แทนที่จะเก็บความกังวลไว้ในใจเงียบ ๆ สู้ใช้เครื่องมือช่วยโดยตรงดีกว่า อย่างเช่นแอปแชทอย่าง Lingogram ที่มีฟังก์ชันแปลภาษาด้วย AI แบบเรียลไทม์ในตัว เมื่อคุณสื่อสารกับเพื่อนต่างชาติ มันสามารถช่วยให้คุณก้าวข้ามความเข้าใจผิดที่เกิดจากความ 'คล้ายคลึงกันเกินไป' ได้ในทันที ทำให้คุณสื่อสารได้อย่างมั่นใจ พร้อมทั้งยังสามารถเรียนรู้การใช้งานที่ถูกต้องที่สุดจากการสนทนาจริง
ท้ายที่สุดแล้ว ความสุขที่แท้จริงของการเรียน 'ภาษาญาติสนิท' ไม่ได้อยู่ที่ว่ามัน 'ง่าย' เพียงใด แต่อยู่ที่มันสามารถทำให้คุณเข้าใจแก่นแท้ของภาษาได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ภาษาเหล่านี้ต่างก็มีรากฐานร่วมกัน แต่กลับเบ่งบานเป็นดอกไม้อันงดงามที่แตกต่างกันในผืนดินของตนเอง
จงละทิ้งความหยิ่งผยองที่ 'คิดไปเอง' แล้วโอบรับความถ่อมตนที่ 'อ้อ...เป็นอย่างนี้นี่เอง' การเดินทางครั้งนี้ จึงจะกลายเป็นการเดินทางที่แท้จริงที่ทั้งง่ายดายและน่าหลงใหล